เคยสงสัยกันหรือไม่? ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนคนหนึ่งก้าวหน้าได้อยู่เสมอแม้ในวันที่ไม่มีแรงผลักดันจากคนภายนอกเลย หรือแม้แต่คุณสมบัติในประกาศรับสมัครงาน ที่หลายองค์กรกำลังตามหา ส่วนใหญ่มักระบุว่า “ต้องการคนที่มี Self-Motivation”
แล้ว Self-Motivation คืออะไร? เราจะมาทำรู้จักพร้อมลงลึกถึงแนวทางการพัฒนาไปพร้อมกันในบทความนี้
Self-Motivation หรือ แรงจูงใจในตนเอง คือ ความสามารถในการผลักดันตัวเองให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงกระตุ้นภายนอกอื่น ๆ อย่างเช่น สภาพแวดล้อม บรรยากาศ คำสั่ง คำชม หรือ ของรางวัลตอบแทน เป็นต้น
ด้วยแรงจูงใจนี้เอง ทำให้ “สิ่งที่ควรหรือคิดว่าจะทำ” แปรเปลี่ยนเป็น “สิ่งที่ต้องทำ” ก่อให้เกิดพัฒนาการและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และเพราะว่าแรงจูงใจนี้เกิดขึ้นจากภายในตัวเราเอง ทำให้แรงจูงใจมีความยั่งยืน เพราะตราบใดที่เรายังยึดมั่นในคุณค่าที่ต้องการ เราจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้อยู่เสมอ
แรงจูงใจ คือ แรงผลักดันหรือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้คนเราเกิดพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเราสามารถแบ่งแรงจูงใจเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ Intrinsic Motivation (แรงจูงใจภายใน) และ Extrinsic Motivation (แรงจูงใจภายนอก)
แรงจูงใจภายใน คือ แรงจูงใจที่มาจากความต้องการภายในจิตใจ ไม่ว่าจะเป็น ความพึงพอใจ ความหลงใหลในสิ่งที่ทำ การเติมเต็มความต้องการ ความกระหายใคร่รู้ หรือแม้แต่เป้าหมายชีวิต รวมไปถึงความเชื่อต่าง ๆ ที่มุ่งหวังผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวเอง
แรงจูงใจภายนอก คือ แรงจูงใจที่มาจากการกระตุ้นภายนอกที่รายล้อมรอบตัว อย่างเช่น ของรางวัลผลตอบแทน คำชม แรงกดดันจากสังคม การมีชื่อเสียง การเป็นที่ยอมรับจากผู้อื่น หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการผูกเป้าหมายไว้กับผู้อื่น ก็ได้เช่นกัน
คุณอยากเรียนรู้ทักษะใหม่เพิ่มเติม เพราะอยากเพิ่มพูนทักษะขยายขีดความสามารถในการทำงานของตัวเอง
คุณอยากเรียนรู้ทักษะใหม่เพิ่มเติม เพราะบริษัทมีแคมเปญเรียนจบ 1 คอร์สลุ้นรับเงินรางวัล
จะเห็นได้ว่า ความแตกต่างของทั้ง 2 แรงจูงใจจะอยู่ที่จุดเริ่มต้น “ว่าเรากำลังทำสิ่งนี้เพื่ออะไร” ซึ่งแรงจูงใจทั้ง 2 แบบ ไม่มีอันไหนผิดหรือถูกซะทีเดียว หากแต่ว่า แรงจูงใจที่เกิดขึ้นจากภายใน จะยั่งยืนมากกว่า เพราะต่อให้ในวันที่ไม่มีแรงกระตุ้นจากคนอื่น แต่ตัวเรายังยึดมั่นในคุณค่าผลลัพธ์ที่เราคาดหวังไว้ ก็จะส่งผลให้เราทำสิ่ง ๆ นั้นได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ Self-Motivation ที่เป็นแรงจูงใจในตัวเองนั้น ก็อาจจะเกิดขึ้นจากแรงจูงใจภายนอกได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
พนักงานบริษัทคนหนึ่งเริ่มต้นออกกำลังกายทุกวัน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมและรับรางวัลกับทาง HR แต่ระหว่างทางเขาค้นพบความสนุกและรู้สึกดีที่ได้ออกกำลังกายทุกวัน โดยไม่คาดหวังกับรางวัลในท้ายที่สุด
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกมีแรงกระตุ้นจากภายนอกทำให้เกิดพฤติกรรม แต่ระหว่างทางเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่ต้องการทำจากตัวเราเอง ก็มีแรงขับเคลื่อนเป็นความคิดและความต้องการจากภายในที่ทำให้เกิดพฤติกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
จากรายงาน Future of Jobs Report 2025 ของ World Economic Forum พบว่าทักษะ Motivation and Self-Awareness หรือทักษะการสร้างแรงจูงใจในตนเองและการตระหนักรู้ตนเอง เป็นหนึ่งในทักษะที่มีความสำคัญที่นายจ้างทั่วโลกมองว่าจำเป็นและสำคัญในโลกการทำงาน
จากกราฟจะเห็นว่ามีสัดส่วนของนายจ้างที่ให้ความสำคัญกับทักษะ Self-Motivation มากถึง 52% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับทักษะอื่น ๆ มาทำความเข้าใจกันว่าทำไมทักษะนี้ถึงจำเป็นกับโลกการทำงานในปัจจุบัน
จากกราฟจะเห็นว่ามีสัดส่วนของนายจ้างที่ให้ความสำคัญกับทักษะ Self-Motivation มากถึง 52% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับทักษะอื่น ๆ มาทำความเข้าใจกันว่าทำไมทักษะนี้ถึงจำเป็นกับโลกการทำงานในปัจจุบัน
ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามาก ทำให้การทำงานมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอยู่เสมอ นายจ้างจึงต้องการพนักงานที่มีทักษะ Self-Motivation ที่จะสามารถผลักดันให้ตนเองเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
หลายองค์กรปรับมาใช้การทำงานรูปแบบ Hybrid Work และ Remote Work มากขึ้น ทำให้ไม่มีการควบคุม หรือการสอดส่องจากองค์กรตลอดเวลา Self-Motivation หรือแรงจูงในตัวเองจึงมีความสำคัญ เพื่อให้พนักงานสามารถบริหารเวลาและสร้างผลลัพธ์การทำงานที่ดีได้ด้วยตัวเอง
ทักษะ Self-Motivation มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับทักษะสำคัญอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการฟื้นตัวจากความล้มเหลว (Resilience) ความยืดหยุ่น (Flexibility) และความคล่องแคล่วในการปรับเปลี่ยน (Agility) ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะที่นายจ้างให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของปี 2025
นอกจากนี้ Self-Motivation (แรงจูงใจในตนเอง) ไม่ได้เป็นแค่ทักษะที่ช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ หรือผลักดันให้ประสบความสำเร็จแต่เพียงเท่านั้น แต่ Self-Motivation ช่วยเสริมสร้าง Self-Esteem ได้
เพราะเมื่อเราผลักดันตัวเองให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-Esteem) ให้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ
เช่นเดียวกันคนที่มี Self-Esteem ที่ดีมักจะมีแนวโน้มที่กล้าท้าทายและจูงใจตัวเองได้เพิ่มมากขึ้น เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง
คนที่มีแรงจูงใจในตัวเองจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้เขาสามารถคัดกรองสิ่งที่จำเป็นและไม่จำเป็นในชีวิตตัวเองได้เป็นอย่างดี และมักจะเลือกทำสิ่งที่มีความสอดคล้องกับตัวตนและเป้าหมาย และไปสู่เป้าหมายของตัวเองได้เร็วขึ้น
คนที่มี Self-Motivation จะมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ทำให้รู้ว่าควรจะต้องทำอะไรในช่วงเวลาต่าง ๆ จึงมักมีความสามารถในการควบคุมโฟกัสได้ในการทำงานเป็นอย่างดี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้การฝึกเทคนิค Deep Work จะช่วยให้โฟกัสกับงานได้ดี ไม่วอกแวก
คนที่มี Self-Motivation จะเลือกทำสิ่งที่ส่งผลต่อเป้าหมายก่อน เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การแยกแยะงานที่ "สำคัญ" และ "เร่งด่วน" ออกจากกัน จะทำให้เขาวางแผนการใช้เวลาได้ดีขึ้น รวมไปถึงการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน
คนที่มี Self-Motivation มักจะทุ่มเทเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะพวกเขามีแรงขับเคลื่อนจากภายในที่ทำให้ไม่ต้องรอแรงกระตุ้นจากภายนอก พวกเขามองเห็น คุณค่าและความหมาย ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงมีความตั้งใจแน่วแน่ในการก้าวไปข้างหน้า
หลังจากที่คุณเข้าใจประโยชน์ของการเป็นคนที่มีแรงจูงใจในตัวเองแล้ว อาจจะเกิดคำถามกับตัวเอง ว่าคุณสามารถพัฒนาทักษะนี้ให้คุณเป็น Self Motivated Person ได้หรือไม่ คำตอบคือ “ได้”
การสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง เป็นทักษะที่สามารถพัฒนาและฝึกฝนกันได้ ด้วยการฝึกฝนแนวคิดและการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม มาทำความรู้จักกับเทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้ตนเองไปพร้อมกัน
การค้นหาคุณค่าของเป้าหมาย เป็นหัวใจของ Self-Motivation เพราะทำให้เราเกิดแรงขับเคลื่อนจากภายในได้เป็นอย่างดี เมื่อเป้าหมายของเรามีความหมายกับชีวิตจริง ๆ จะทำให้คุณรักษาแรงจูงใจในตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นในคุณค่าของผลลัพธ์ปลายทางที่จะเกิดขึ้น
เมื่อมีเป้าหมายที่มีคุณค่าแล้ว ให้เรากำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้เรามีทิศทางและแรงจูงใจที่มั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้การตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goals โดยการกำหนดให้เฉพาะเจาะจง มีกรอบเวลาที่ชัดเจน จะช่วยให้เราตั้งเป้าได้มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ควรตั้งเป้าหมายให้มีความท้าทายเล็กน้อยแต่ยังทำได้จริง เพราะเมื่อเราบรรลุเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ท้าทายไว้นั้น จะทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและสร้างแรงจูงใจได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ให้แบ่งเป้าหมายนั้นออกเป็นเป้าหมายระยะสั้น พร้อมวางแผนการลงมือทำให้เข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตของเรา และกำหนดว่าต้องทำอะไรในแต่ละวันให้เป็นกิจวัตร จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้การจดบันทึกแผนและกิจกรรมเหล่านั้นไว้ในที่ที่มองเห็นง่าย เช่น แอปจดบันทึก โพสต์อิท หรือสมุดโน้ต จะช่วยให้คุณติดตามความคืบหน้าและเตือนตัวเองให้ลงมือทำได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อมีแผนวางไว้แล้วให้ลงมือทำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการติดตามผลด้วยการ Reflect กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เราสามารถปรับเปลี่ยนแผนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ทุกความคืบหน้าที่เกิดขึ้น จะเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจให้คุณอยากลงมือทำอย่างต่อเนื่องเพื่อไปถึงเป้าหมายที่วางไว้
ระหว่างที่เราลงมืออย่างมุ่งมั่นเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ อย่าลืมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ เพราะการเรียนรู้จะช่วยให้สมองเกิดการตื่นตัว นอกจากนี้การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยในเรื่องมุมมองที่ว่า ความสามารถของเราสามารถพัฒนาตลอด เป็นอีกหนึ่งแรงขับให้เกิดแรงจูงใจได้อย่างต่อเนื่อง
จากทฤษฎี Broad and Build ของ Barbara Fredrickson อธิบายว่า การอยู่ในอารมณ์ด้านบวกเสมอ (Positive Emotion) ไม่ว่าจะเป็น ความสุข ความดีใจ ความตื่นเต้น ความพึงพอใจ หรือ ความภาคภูมิใจ จะช่วยขยายกรอบความคิด (Broad) ให้เรามองเห็นโอกาสและแนวทางใหม่ ๆ มากขึ้น ส่งผลให้เรารับมือกับความท้าทายและมีแนวโน้มที่จะลงมือทำมากขึ้น
นอกจากนี้ อารมณ์เชิงบวกยังช่วยสร้างทรัพยากรทางจิตใจ (Build) หรือทัศนคติที่ดี เช่น ความมั่นใจ ความยืดหยุ่น และความมุ่งมั่น ทำให้เราสามารถมีแรงจูงใจที่ดีและฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้เร็ว ดังนั้นเราควรรักษาอารมณ์ให้อยู่ในเชิงบวกอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะเริ่มจากการขอบคุณตัวเองในทุกวันที่ลงมือทำสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้เช่นกัน
"การให้รางวัลตัวเอง" เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ทรงพลังในการส่งเสริม Self-Motivation เพราะสมองของเราจะหลั่งโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ในขณะเดียวกันสมองเราเกิดความเชื่อมโยงระหว่างความพยายามกับรางวัล ทำให้เรามีแรงผลักดันในการลงมือทำมากขึ้น
"สุขภาพที่ดีคือรากฐานของแรงจูงใจ" เมื่อร่างกายแข็งแรง เราจะมีพลังที่ดี มีสมองปลอดโปร่ง และอารมณ์ดีขึ้น ส่งผลให้เราพร้อมเผชิญความท้าทายและลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การออกกำลังกายช่วยเพิ่มพลัง ลดความเครียด และเสริมความมั่นใจ ขณะที่การนอนหลับที่เพียงพอและอาหารที่มีประโยชน์ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ หากต้องการเพิ่มแรงจูงใจในชีวิต ลองเริ่มต้นด้วยการดูแลสุขภาพ เพราะเมื่อร่างกายพร้อม ใจเราก็พร้อมก้าวไปสู่เป้าหมาย
การใช้เวลากับคนที่มี Self-Motivation จะทำให้เราได้รับพลังบวกและแรงบันดาลใจจากพวกเขา สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนที่มีแรงจูงใจสูงยังช่วยให้เรามีวินัยและไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หากเราท้อ พวกเขาจะช่วยผลักดันและเตือนให้เรากลับมาโฟกัสที่เป้าหมายได้อยู่เสมอ ซึ่งเราอาจจะเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการเข้าร่วมกลุ่ม Community ที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่การอ่านหนังสือหรือฟังพอดแคสต์จากคนที่มีแรงจูงใจก็ช่วยได้เช่นกัน
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็ทำให้เราเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ทำไม Self-Motivation ถึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ใครหลายคนก้าวหน้าอยู่เสมอ และเป็นคนที่หลายองค์กรต้องการร่วมงานในยุคนี้ นอกจากนี้ Self-Motivation ยังเป็นทักษะที่สอดคล้องตามแผนการพัฒนาบุคลากรของ KMUTT ด้วยเช่นกัน
อย่าปล่อยให้ Self-Motivation เป็นแค่แนวคิดที่ดี ร่วมเปลี่ยนแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณด้วยการลงมือทำ และยืนยันทักษะที่มีด้วย Micro-Credentials เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตของชีวิตและเส้นทางอาชีพของคุณ
หากคุณกำลังมองหาทางรอดในการทำงานของตนเองเพื่อไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะตกงาน แค่ 3 Checklist ง่ายๆ มีครบ มีงานทำได้แน่ แค่ทำตามนี้ รับรองบริษัทต้องการตัวคุณ
Micro-Credentials คือ หลักสูตรการเรียนรู้และรับรองระยะสั้น ช่วยให้พัฒนาทักษะทางวิชาชีพได้รวดเร็ว และเป็นกุญแจสำคัญในการลด Skill Gap ในยุค Disruption